เพราะการบังคับคดี ต้องตั้งเรื่องขอหมายบังคับ ต้องแจ้งเจ้าพนักงานบังคับคดี ต้องขายทอดตลาด ต้องรอคนมาซื้อในราคาที่ไม่ต่ำเกินไปต้องเสียค่าธรรมเนียมบังคับคดี ทางเลือกเพื่อทางรอด ฝ่ายเจ้าหนี้คือโจทก์ทั้ง 28 คน ควรนัดฝ่าย จำเลยมาคุยแบบยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ การที่ฝ่ายผิดรับผิด ยอมถูกตำหนิติเตียน ยอมเสนอชดใช้จนพอใจ ใครเดือดร้อนมากเอาไปก่อน ที่สำคัญต้องหาทางหยุดดอกเบี้ยจากต้นเงินที่มันเดินนับแต่วันละเมิด 27 ธ. ค. 53 จนบานไปไม่รู้เท่าไหร่? แต่เชื่อว่าทุกปัญหามีทางออก เห็นว่าที่ดินของแพรวาใกล้ขายได้แล้ว... "สหบาท"
มาตรา 686 วรรคสอง
มาตรา 142 ซึ่งห้ามมิให้พิพากษาหรือสั่งเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง การที่ศาลชั้นต้นไกล่เกลี่ยแล้วคู่ความในคดีรวมทั้ง นาง ก. และนางสาว น. ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันและศาลพิพากษาตามยอมจึงไม่ขัดต่อกฎหมาย แม้จะมีนาง ก. เข้าร่วมตกลงด้วย การที่โจทก์ทั้งสอง จำเลยทั้งสอง นาง ก. ทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลและศาลพิพากษาตามยอม สัญญาประนีประนอมยอมความจึงชอบด้วยกฎหมาย ผูกพันคู่สัญญาทุกฝ่ายในสัญญาประนีประนอมยอมความ ส่วนคำพิพากษาตามยอมซึ่งพิพากษาให้คดีเสร็จเด็ดขาดตามสัญญาประนีประนอมยอมความผูกพันเฉพาะคู่ความตาม ป. มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ไม่ผูกพันบุคคลภายนอกซึ่งมิได้เป็นคู่ความเว้นแต่ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 142 (1), 245 และ 274 และในข้อยกเว้นตามมาตรา 145 วรรคสอง (1) (2) เมื่อนาง ก. ประพฤติผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิขอบังคับคดีแก่นาง ก. โดยอาศัยสัญญาประนีประนอมและคำพิพากษาตามยอมคดีนี้ แต่เป็นกรณีที่โจทก์ต้องไปว่ากล่าวเอาแก่นาง ก. เป็นคดีต่างหาก แม้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 11 ระบุว่า หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดข้อตกลงในสัญญายอมข้อใดข้อหนึ่งให้บังคับคดีไปตามสัญญายอมนี้ได้ทันที โดยให้ถือเอาคำพิพากษาตามยอมของศาลเป็นการแสดงเจตนา พร้อมให้ชำระเงิน 2, 000, 000 บาท แก่คู่ความอีกฝ่ายด้วย ก็มีความหมายเพียงว่า ถ้าคู่สัญญาคนใดในสัญญาประนีประนอมยอมความผิดสัญญาข้อใดก็ให้บังคับคดีเอาแก่คู่สัญญานั้นตามสัญญาแต่ละข้อเท่านั้น เพราะในสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับดังกล่าวมิได้มีข้อตกลงให้โจทก์ทั้งสองกับนาง ก.
หรือผู้รับโอนกรรมสิทธิ์คือจำเลยทั้งสามย่อมอยู่ในบังคับของบทกฎหมายดังกล่าวทั้งนี้ไม่ว่าบุคคลดังกล่าวจะได้ขออนุญาตจัดสรรที่ดินหรือไม่ก็ตาม เมื่อทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอมโดยผลแห่งกฎหมายเฉพาะแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องคำนึงว่าโจทก์ทั้งหกได้ใช้ทางพิพาทจนตกเป็นทางภาระจำยอมโดยอายุความหรือไม่ ปัญหาดังกล่าว เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้โจทก์ทั้งหกจะมิได้ยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม ป. วิ. พ. มาตรา 142 (5) หากหมู่บ้านที่ท่านอาศัยอยู่เกิดข้อพิพาทในลักษณะดังที่กล่าวมา ก็จะได้ทราบแนวทางในการแก้ไขปัญหาของผู้ซื้อบ้านจัดสรร และผู้จัดสรร หรือนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรต่อไป
การทำสัญญาประนีประนอมยอมความในศาลนั้น เป็นกระบวนการที่มีขึ้นเพื่อระงับข้อพิพาทระหว่างคู่ความ และมิใช่เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดอย่างคดีธรรมดาที่จะต้องพิจารณาพยานหลักฐานของคู่ความ ซึ่งในบางครั้งอาจมีบุคคลภายนอกเข้ามายอมเป็นคู่สัญญาประนีประนอมยอมความนั้นด้วยและศาลก็จะพิพากษาตามยอมไปได้โดยไม่เป็นการขัดต่อกฎหมาย ป. พ. มาตรา 850 "อันว่าประนีประนอมยอมความนั้น คือสัญญาซึ่งผู้ เป็นคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายระงับข้อพิพาทอันใดอันหนึ่งซึ่งมีอยู่ หรือ จะมีขึ้นนั้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน" ป. วิ.
1. ปกติแล้ววันอ่านคำพิพากษา ศาลจะออกคำบังคับให้ลูกหนี้ปฏิบัติตามคำพิพากษาภายใน 30 วัน แม้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่ได้มาฟังคำพิพากษา เว้นแต่กรณี ลูกหนี้ ตามคำพิพากษาขาดนัดยื่นคำให้การ หรือขาดนัดพิจารณา และลูกหนี้ ทนายความ หรือผู้รับมอบฉันทะให้มาฟัง คำพิพากษา ไม่อยู่ในศาล ต้องส่งคำบังคับให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาทราบก่อน เพื่อให้ปฏิบัติตามคำพิพากษาได้ 2. หลังพ้นระยะเวลาที่ต้องปฏิบัติตามคำบังคับ ลูกหนี้ตามคำพิพากษาไม่ปฏิบัติตาม เช่น ไม่ชำระเงินหรือชำระเงินไม่ครบถ้วน เจ้าหนี้ต้องยื่นคำขอต่อศาลให้ออกหมายบังคับคดีให้แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา 3. เจ้าหนี้นำหมายบังคับคดีไปแจ้งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทราบว่า ออกหมายบังคับคดีแล้ว และแถลงขอให้ยึดทรัพย์สิน หรืออายัดสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ ขั้นตอนในข้อ 2 และข้อ 3 เจ้าหนี้ต้องดำเนินการภายใน 10 ปี 4. เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ หรืออายัดสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดีจะดำเนินการขายทอดตลาดทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้อง เพื่อนำเงินมาชำระหนี้ 5. ถ้าเจ้าหนี้มีเหตุอันสมควรเชื่อได้ว่า ลูกหนี้มีทรัพย์สินมากกว่าที่ทราบ หรือมี ทรัพย์สิน ที่ต้องถูกบังคับคดี แต่ไม่ทราบว่าอยู่หรือเก็บรักษาไว้ที่ใด หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่า ทรัพย์สินใดเป็นของลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือไม่ เจ้าหนี้มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาล เพื่อไต่สวนเกี่ยวกับกิจการและทรัพย์สินของลูกหนี้ได้ อ่านแล้วจำได้ขึ้นใจ เพราะมันเป็นการนำเสนอกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งภาคบังคับคดี แต่ทางปฏิบัติจริง อะไรคือขั้นตอนที่ตรงกับความต้องการมากที่สุด?
ร. บ. ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ. ศ. 2475 มาตรา ประกอบ ป. พ. มาตรา 654 ข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ยย่อมตกเป็นโมฆะ ปัญหานี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตาม ป. วิ. มาตรา 142 (5) ประกอบด้วยมาตรา 246 และมาตรา 247 (เดิม) การที่จำเลยยอมชำระดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้แก่โจทก์ ถือได้ว่าเป็นการชำระหนี้ฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมายตาม ป. มาตรา 411 จำเลยหาอาจจะเรียกร้องให้คืนเงินดอกเบี้ยที่ชำระได้ไม่ โจทก์ในฐานะผู้ให้กู้เป็นฝ่ายเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้จากจำเลย เมื่อข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ยตกเป็นโมฆะแล้ว และจำเลยไม่อาจเรียกร้องให้คืนเงินดอกเบี้ยที่ชำระฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมายได้ โจทก์ก็ย่อมไม่มีสิทธิได้ดอกเบี้ยดังกล่าวด้วย ต้องนำดอกเบี้ยที่จำเลยชำระให้แก่โจทก์ ไปหักเงินต้นตามหนังสือสัญญากู้ 2. อายุความการบังคดีแพ่งเริ่มนับตั้งแต่เมื่อใด ในคดีแพ่งเมื่อศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี ซึ่งจะต้องมีการบังคับคดี ศาลจะออกคำบังคับคดีกำหนดวิธีปฏิบัติตามคำบังคับ ถ้าลูกหนี้ไม่ปฏิบัติตามคำบังคับภายในเวลาที่กำหนด เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ก็สามารถร้องขอให้ศาลออกให้มีการบังคดี คือตามยึดอายัดทรัพย์ของลูกหนี้ ตามคำพิพากษากฎหมายได้ภายในระยะเวลาสิบปี ปัญหาคือ อายุความสิบปีนับตั้งแต่เมื่อใด แต่เดิม คำพิพากษาศาลฎีกา วางแนวบรรทัดฐานไว้ว่า ระยะในการร้องขอให้บังคับคดี นับตั้งแต่วันมีคำพิพากษาของศาลชั้นที่สุด เช่น 4741/2539 วินิจฉัยว่า ตาม ป.
ต้องรับผิดร่วมกันในการชำระหนี้แก่จำเลยทั้งสอง โจทก์ทั้งสองจึงมิได้ประพฤติผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยทั้งสองจึงไม่มีสิทธิยื่นคำขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีเอาแก่โจทก์ทั้งสอง