กลุ่มชาวไทยพุทธ ชนพื้นบ้าน แต่งกายคล้ายชาวไทยภาคกลาง ฝ่ายหญิงนิยมนุ่งโจงกระเบน หรือ ผ้าซิ่นด้วย ผ้ายกอันสวยงาม ใส่เสื้อสีอ่อนคอกลม แขนสามส่วน ส่วนฝ่ายชายนุ่งกางเกงชาวเล หรือ โจงกระเบนเช่นกัน สวมเสื้อผ้าฝ้ายและ มีผ้าขาวม้าผูกเอว หรือพาดบ่าเวลาออกนอกบ้านหรือไปงานพิธี กลับหน้า
ตัวกางเกงมีกระเป๋าติดซิป และเย็บย้ำชายขากางเกง (ไม่มีเชือก) เบอร์ #6 - ผลิตจากผ้าโทเร 180 เนื้อนิ่ม ขนาดรอบเอว 50" ยาว 42" เบอร์ # 8 - ผลิตจากผ้าโทเร 180 เนื้อนิ่ม ขนาดรอบเอว 52" ยาว 44" เบอร์ #0 - ผลิตจากผ้าโทเร 180 เนื้อนิ่ม ขนาดรอบเอว 56" ยาว 44" มีจำหน่าย สีดำ, น้ำตาล, ฟ้าเข้ม, กรมมืด, ฟ้าอมเขียว และน้ำเงิน
ศ.
รายการ หน้าแรก โปรโมชั่น ติดต่อเรา วิธีการสั่งซื้อ สมัครงาน กิจกรรมเพื่อสังคม WEBBOARD เสื้อชาวนา ป้ายกำกับ: 4 ความคิดเห็น: yindee 6 เมษายน 2563 06:11 ซื้อยังไง ซื้อไม่เป็นค่ะ ตอบ ลบ คำตอบ ตอบ Unknown 7 ธันวาคม 2563 03:55 สนใจสินค้า ติดต่ออย่างไรคะ ตอบ ลบ คำตอบ ตอบ Unknown 4 กุมภาพันธ์ 2564 05:05 ไซร์ L 50 ตัวครับ ตอบ ลบ คำตอบ ตอบ Unknown 1 เมษายน 2564 04:56 ขอราคา ตอบ ลบ คำตอบ ตอบ เพิ่มความคิดเห็น โหลดเพิ่มเติม... บทความใหม่กว่า บทความที่เก่ากว่า สมัครสมาชิก: ส่งความคิดเห็น (Atom)
ทุกแบบประกอบด้วย 1. หมวก 2. เสื้อ 3. กระโปรง 4. ผ้าคาดเอว 5.
ชุดไทยศิวาลัย: มีลักษณะเหมือนกับชุดไทยบรมพิมาน ต่างกันตรงที่จะห่มสไบปักลายสวยงามทับอีกชั้น เป็นชุดสำหรับพิธีสำคัญต่าง ๆ 6. ชุดไทยจักรี: ชุดไทยยอดนิยม นุ่งผ้าซิ่น ห่มสไบเปิดไหล่ขวา ลวดลายวิจิตรตามแต่ออกแบบมา 7. ชุดไทยอมรินทร์: เหมือนกับชุดไทยจิตรลดา แต่ตัดเย็บหรูหรากว่าและนิยมใส่เครื่องประดับมีค่าเข้าคู่กัน 8. ชุดไทยดุสิต: เป็นเสื้อคอกว้าง แขนกุด ปักเลื่อมงดงาม เข้ารูป เหมาะสำหรับร่วมงานแบบตะวันตก [ via: google, m-culture]
ช่วงรัชกาล 1-3 ชาวบ้านยังนิยมนุ่งโจงกระเบน สำหรับชาววังนุ่งผ้าซิ่น คาดสไบจับจีบสีสันสวยงาม ไว้ผมสั้นหรือยาวไว้ผมปีก 2. ช่วงรัชกาล 4 ยังคงนุ่งโจงกระเบน แต่เปลี่ยนเป็นเสื้อแขนกระบอกคอปิด แล้วคาดสไบทับอีกชั้น 3. ช่วงรัชกาล 5 ยังคงนุ่งโจงกระเบน แต่เปลี่ยนเป็นแบบสากลมากขึ้น สวมเสื้อแบบฝรั่ง มีลูกไม้และใส่ถุงเท้า รองเท้า 4. ช่วงรัชกาล 6 ยังคงนุ่งโจงกระเบน เสื้อลูกไม้คอลึก มีผ้าแพรบาง ๆ สะพายทับ 5. ช่วงรัชกาล 7-8 เลิกนุ่งโจงกระเบน เป็นผ้าซิ่นยาวแค่เข่า เสื้อตามแบบตะวันตก ช่วงรัชกาลที่ 9 ชุดไทยพระราชทานทั้ง 8 แบบ 1. ชุดไทยเรือนต้น: แขนสามส่วน คอกลมไม่มีปก กระดุมห้าเม็ด ผ้าซิ่นตัดเย็บสลับลายขวาง 2. ชุดไทยบรมพิมาน: เสื้อแขนกระบอก คอมีปกตั้ง ผ้าซิ่นลวดลายสวยงามมีจีบข้างหน้า เวลาสวมต้องใส่เข็มขัด สวมใส่เครื่องประดับ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ เหมาะสำหรับงานพิธีการต่าง ๆ 3. ชุดไทยจิตรลดา: ลักษณะโดยทั่วไปคล้ายกับชุดไทยเรือนต้น เพียงแต่แขนเสื้อจะยาวจรดข้อมือและคอกลมมีปกตั้ง 4. ชุดไทยจักรพรรดิ: คล้ายกับชุดไทยจักรี แต่ใช้สำหรับงานที่เป็นพิธี หรูหรามากกว่า ต่างกับชุดไทยจักรีด้วยการห่มผ้าแพร่ก่อน แล้วจึงห่มด้วยผ้าสไบปักฉลุ ผ้าสไบจับจีบอย่างสวยงามอีกชั้น ผ้าซิ่นมีจีบด้านหน้าและคาดเข็มขัด 5.
การแต่งกายภาคใต้ ภาคนี้มีการแต่งกายต่างกันตามเชื้อชาติ ถ้าเชื้อสายจีนจะแต่งแบบจีน ถ้าเป็นชาวมุสลิม ก็จะแต่งคล้ายกับชาวมาเลเซีย ปัจจุบันแหล่งทำผ้าแบบดั้งเดิมนั้นเกือบจะสูญหายไป คงพบได้เฉพาะ 4 แหล่งเท่านั้นคือ ที่ตำบลพุมเรี้ยง จังหวัดสุราษฎร์ธานี, อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช, เกาะยอ จังหวัดสงขลา และตำบลนาหมื่นศรี จังหวัดตรัง การแต่งกายของชาวใต้ การแต่งกายนั้นแตกต่างกันในการใช้วัสดุ และรูปแบบโดยมีเอกลักษณ์ไปตามเชื้อชาติ ของผู้คนอันหลากหลายที่เข้ามาอยู่อาศัยในดินแดนอันเก่าแก่แห่งนี้พอจำแนกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้ดังนี้ 1. กลุ่มเชื้อสายจีน – มาลายู เรียกชนกลุ่มนี้ว่ายะหยา หรือ ยอนย่า เป็นกลุ่มชาวจีน เชื้อสายฮกเกี๊ยนที่มาสมรสกับชนพื้นเมืองเชื้อสายมาลายู ชาวยะหยาจึงมีการแต่งกายอันสวยงาม ที่ผสมผสาน รูปแบบของชาวจีนและมาลายูเข้าด้วยกันอย่างงดงาม ฝ่ายหญิงใส่เสื้อฉลุลายดอกไม้ รอบคอ, เอว และปลายแขนอย่างงดงาม นิยมนุ่งผ้าซิ่นปาเต๊ะ ฝ่ายชายยังคงแต่งกาย คล้ายรูปแบบจีนดั้งเดิมอยู่ 2. กลุ่มชาวไทยมุสลิม ชนดั้งเดิม ของดินแดนนี้นับถือศาสนาอิสลาม และมี เชื้อสายมาลายู ยังคงแต่งกายตามประเพณี อันเก่าแก่ฝ่ายหญิงมีผ้าคลุมศีรษะ ใส่เสื้อผ้ามัสลิน หรือลูกไม้ตัวยาวแบบมลายูนุ่งซิ่นปาเต๊ะ หรือ ซิ่นทอแบบมาลายู ฝ่ายชายใส่เสื้อคอตั้ง สวมกางเกงขายาว และมีผ้าโสร่งผืนสั้น ที่เรียกว่า ผ้าซองเก็ต พันรอบเอวถ้าอยู่ บ้านหรือลำลองจะใส่โสร่ง ลายตารางทอด้วยฝ้าย และสวมหมวกถักหรือ เย็บด้วยผ้ากำมะหยี่ 3.
การแต่งกายภาคใต้ ภาคนี้มีการแต่งกายต่างกันตามเชื้อชาติ ถ้าเชื้อสายจีนจะแต่งแบบจีน ถ้าเป็นชาวมุสลิม ก็จะแต่งคล้ายกับชาวมาเลเซีย ปัจจุบันแหล่งทำผ้าแบบดั้งเดิมนั้นเกือบจะสูญหายไป คงพบได้เฉพาะ 4 แหล่งเท่านั้นคือ ที่ตำบลพุมเรี้ยง จังหวัดสุราษฎร์ธานี, อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช, เกาะยอ จังหวัดสงขลา และตำบลนาหมื่นศรี จังหวัดตรัง การแต่งกายของชาวใต้ การแต่งกายนั้นแตกต่างกันในการใช้วัสดุ และรูปแบบโดยมีเอกลักษณ์ไปตามเชื้อชาติ ของผู้คนอันหลากหลายที่เข้ามาอยู่อาศัยในดินแดนอันเก่าแก่แห่งนี้พอจำแนกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้ดังนี้ ี้ 1. กลุ่มเชื้อสายจีน – มาลายู เรียกชนกลุ่มนี้ว่ายะหยา หรือ ยอนย่า เป็นกลุ่มชาวจีน เชื้อสายฮกเกี๊ยนที่มาสมรสกับชนพื้นเมืองเชื้อสายมาลายู ชาวยะหยาจึงมีการแต่งกายอันสวยงาม ที่ผสมผสาน รูปแบบของชาวจีนและมาลายูเข้าด้วยกันอย่างงดงาม ฝ่ายหญิงใส่เสื้อฉลุลายดอกไม้ รอบคอ, เอว และปลายแขนอย่างงดงาม นิยมนุ่งผ้าซิ่นปาเต๊ะ ฝ่ายชายยังคงแต่งกาย คล้ายรูปแบบจีนดั้งเดิมอยู่ 2. กลุ่มชาวไทยมุสลิม ชนดั้งเดิม ของดินแดนนี้นับถือศาสนาอิสลาม และมี เชื้อสายมาลายู ยังคงแต่งกายตามประเพณี อันเก่าแก่ฝ่ายหญิงมีผ้าคลุมศีรษะ ใส่เสื้อผ้ามัสลิน หรือลูกไม้ตัวยาวแบบมลายูนุ่งซิ่นปาเต๊ะ หรือ ซิ่นทอแบบมาลายู ฝ่ายชายใส่เสื้อคอตั้ง สวมกางเกงขายาว และมีผ้าโสร่งผืนสั้น ที่เรียกว่า ผ้าซองเก็ต พันรอบเอวถ้าอยู่ บ้านหรือลำลองจะใส่โสร่ง ลายตารางทอด้วยฝ้าย และสวมหมวกถักหรือ เย็บด้วยผ้ากำมะหยี่ 3.
กลุ่มเชื้อสายจีน – มาลายู เรียกชนกลุ่มนี้ว่ายะหยา หรือ ยอนย่า เป็นกลุ่มชาวจีน เชื้อสายฮกเกี๊ยนที่มาสมรสกับชนพื้นเมืองเชื้อสายมาลายู ชาวยะหยาจึงมีการแต่งกายอันสวยงาม ที่ผสมผสาน รูปแบบของชาวจีนและมาลายูเข้าด้วยกันอย่างงดงาม ฝ่ายหญิงใส่เสื้อฉลุลายดอกไม้ รอบคอ, เอว และปลายแขนอย่างงดงาม นิยมนุ่งผ้าซิ่นปาเต๊ะ ฝ่ายชายยังคงแต่งกาย คล้ายรูปแบบจีนดั้งเดิมอยู่ 2. กลุ่มชาวไทยมุสลิม ชนดั้งเดิม ของดินแดนนี้นับถือศาสนาอิสลาม และมี เชื้อสายมาลายู ยังคงแต่งกายตามประเพณี อันเก่าแก่ฝ่ายหญิงมีผ้าคลุมศีรษะ ใส่เสื้อผ้ามัสลิน หรือลูกไม้ตัวยาวแบบมลายูนุ่งซิ่นปาเต๊ะ หรือ ซิ่นทอแบบมาลายู ฝ่ายชายใส่เสื้อคอตั้ง สวมกางเกงขายาว และมีผ้าโสร่งผืนสั้น ที่เรียกว่า ผ้าซองเก็ต พันรอบเอวถ้าอยู่ บ้านหรือลำลองจะใส่โสร่ง ลายตารางทอด้วยฝ้าย และสวมหมวกถักหรือ เย็บด้วยผ้ากำมะหยี่ 3.